รีวิวหนัง Take Me Home

การกลับมาของก้องเกียรติ โขมศิริ คืออีกหนึ่งความน่าสนใจที่ทำให้ผมอยากเข้าไปสัมผัสประสบการณ์ความหลอนอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้กับภาพยนตร์เรื่องลองของ ความน่าตื่นตาตื่นใจของเรื่องราวที่เข้มข้น ความสยองขวัญ และฉากเลือดตกยางออกที่ทำออกมาได้เหมือนจริงสุด ๆ สร้างความเหนือชั้นให้กับบรรดาภาพยนตร์สยองขวัญในช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี และการรีเทิร์นในครั้งนี้กับภาพยนตร์เรื่อง Take Me Home สุขสันต์วันกลับบ้าน ที่ได้นักแสดงแถวหน้าของเมืองไทยมารับบทนำ อาทิ มาริโอ้ เมาเร่อ และ วิว วรรณรท สนธิไชย ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงดึงดูดให้แฟนคลับเข้าไปติดตามผลงานกันได้ไม่ยาก

Take Me Home สุขสันต์วันกลับบ้าน ว่าด้วยเรื่องราวของ “แทน” รับบทโดย มาริโอ้ เมาเร่อ บุรุษพยาบาลผู้สูญเสียความทรงจำหลังจากเกิดอุบัติเหตุรุนแรง และจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร เขาทำงานในโรงพยาบาลและพยายามค้นหาว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน กระทั่งเขาได้พบเรื่องราวของตัวเองผ่านหน้าหนังสือพิมพ์เก่า เขาจึงไม่ลังเลที่จะรีบเดินทางกลับไปยังบ้านที่เขาจากมา ทันทีที่เดินทางกลับมาถึง เขาได้พบกับ “ทับทิม” รับบทโดย วิว วรรณรท พี่สาวของแทน เรื่องราวที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ในบ้านหลังนี้กลับมีเรื่องราวที่ไม่ชอบมาพากล เรื่องราวที่ดูแปลกจนน่าประหลาดใจ นำไปสู่เรื่องสยองขวัญอันแสนเจ็บปวดที่ยากจะยอมรับ รีวิวหนัง

ภาพยนตร์เล่าเรื่องราวผ่านตัวเอกของเรื่องที่ชื่อว่า “แทน” ซึ่งเป็นตัวละครที่สูญเสียความทรงจำ แทนพยายามค้นหาว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน และเขาต้องพบเจอเรื่องราวอะไรบ้าง ผู้ชมจะได้รู้เรื่องราวไปพร้อมกัน เนื้อเรื่องค่อนข้างรวบรัดในช่วงแรกเพื่อเข้าไปสู่ช่วงหลัก เมื่อตัวเอกได้กลับไปยังบ้านเพื่อรู้ความจริง มีการตัดฉากสลับไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบัน ซึ่งบางครั้งก็สร้างความสับสนไม่น้อย แต่ในช่วงหลังตัวภาพยนตร์ก็จะค่อย ๆ เฉลยปมเหล่านั้นให้กระจ่างขึ้นเรื่อย ๆ

เอาอยู่จริง ๆ กับนักแสดงหนุ่ม มาริโอ้ เมาเร่อ ที่เสมือนเป็นเสาหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ ความสามารถทางการแสดงที่สั่งสมมาถูกนำมาใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี สามารถดึงอารมณ์คนดูให้อยู่กับตัวละครได้ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ที่สำคัญแฟนคลับของมาริโอ้คงตื่นเต้นกับฉากเซอร์วิสโชว์หัวนมอมชมพูก็น่าจะทำให้แฟนคลับรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจไปตาม ๆ กัน อีกหนึ่งนักแสดงอย่าง วิว วรรณรท ที่ถึงแม้จะแสดงได้ดีไม่แพ้กัน แต่บทพูดในบางฉากอาจยังดูไม่ค่อยหนักแน่นสักเท่าไร แต่โดยรวมก็ไม่ได้ทำให้เสียอรรถรส ปีเตอร์ นพชัย และ นภาดา สุขกิจ ด้วยฝีมือการแสดงที่มีชั่วโมงบินมานานก็ทำให้บ้านหลังนี้ดูมีมิติและหลอนขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ และนักแสดงเด็กอีกสองคนก็ไม่ได้ทำให้เสียบรรยากาศจากการเป็นนักแสดงเด็ก โดยเฉพาะน้อง กรณิศ เล้าสุบินทร์ประเสริฐ สามารถดึงอารมณ์สร้างความหลอนให้กับตัวภาพยนตร์ได้ไม่น้อยเลย

แน่นอนว่าภาพยนตร์แนวนี้ ทุกคนต้องให้ความสนใจถึงความน่ากลัวและความหลอนของผีที่จะปรากฏขึ้นมาในเรื่อง แต่สิ่งที่เหนือกว่านั้นคือการเพิ่มความหลอนด้วยการเล่าเรื่องแบบเดียวกันซ้ำ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วการสร้างความหลอนด้วยวิธีนี้น่ากลัวกว่าการปรากฏตัวแบบตุ้งแช่ของผีในเรื่องเสียอีก การชมภาพยนตร์เรื่องนี้ควรจดจ่ออยู่กับเนื้อเรื่องให้ดี เพราะการตัดสลับไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบันบวกกับการซ้ำของภาพเหตุการณ์อาจทำให้ผู้ชมเกิดความสับสนได้ง่าย ๆ

เราทุกคนล้วนแล้วแต่มีอดีตที่ดีและไม่ดี หลายครั้งอดีตที่ไม่ดีตามมาหลอกหลอนให้เกิดความกลัว และเราเลือกที่จะโทษ โกรธเกลียด อยากจะวิ่งหนี อยากจะลืม แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำได้ เมื่อสบโอกาสเมื่อไรก็จะตามมาหลอกหลอนให้เกิดความกลัวอย่างนี้เรื่อยไป ในวันนี้วันที่เรามาถึงจุดที่เราเข้มแข็งจุดที่เรากล้าแกร่ง ลองกลับไปเผชิญหน้ากับมัน เลือกที่จะยืนอยู่ในช่วงเวลาที่เราหวาดกลัวที่สุด แล้วบอกตัวเองว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเปลี่ยนใจของเราให้ยอมรับและเข้าใจ เรายังมีวันนี้ยังมีชีวิตมีลมหายใจ ยังมีแรงที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้กับตัวเองและคนอื่นอีกมากมาย อดีตอันเลวร้ายก็จะทำไม่สามารถทำอะไรเราได้อีกต่อไป

Comments

Popular posts from this blog

รีวิวหนัง Homestay

รีวิวหนัง : เพื่อนฉัน ฝันสลาย Sad Beauty

รีวิวหนัง : ป๊าด 888 แรงทะลุนรก